ตร.ไซเบอร์ #จับสองผัวเมีย " ม้ากดเงิน " #แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยอมรับคนจีนที่ปอยเปต ชักชวนทำงาน เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 เวลา 12.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ตั้งอยู่ในเมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แถลงผลการปฏิบัติการจับกุมสองผู้ต้องหาเป็นคู่ผัวเมีย ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยใน #คดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนด้วยวิธีการเทรดหุ้นปลอมผ่านเพจเฟซบุ๊กชื่อ “โอ้กะจู๋” ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับเหยื่อรวมมูลค่ากว่า 1.2 ล้านบาท
การจับกุมในครั้งนี้เป็นผลมาจากการสืบสวนของตำรวจไซเบอร์ หลังจากได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายชายสูงวัยในจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งเล่าให้ฟังว่า เขาได้พบเพจปลอมบนเฟซบุ๊กที่อ้างว่าให้ลงทุนเทรดหุ้นโดยมีผลตอบแทนที่ดีและมั่นคง โดยเริ่มต้นจากการสอบถามข้อมูลและพูดคุยกับผู้ดูแลเพจ ก่อนถูกชักชวนให้ลงทุนเทรดหุ้นในบัญชีส่วนตัว ซึ่งในช่วงแรกก็ได้รับผลกำไรตามที่คาดหวัง แต่เมื่อเขาเพิ่มจำนวนการลงทุนและพยายามถอนเงินกลับ กลับพบว่าทางผู้ดูแลเพจไม่ยอมให้ถอนเงิน ทำให้รู้ตัวว่าถูกหลอกและเสียเงินไปกว่า 1.2 ล้านบาท จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์เพื่อดำเนินคดี
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผล จนพบว่ามีเงินของผู้เสียหายถูกโอนเข้าบัญชีม้า จำนวน 5 บัญชี ก่อนถูกถอนออกผ่านตู้เอทีเอ็มในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยเจ้าหน้าที่ได้เชื่อมโยงข้อมูลไปยังนายชาร์ลี มาลาทอง อายุ 24 ปี ชาวกรุงเทพฯ และน.ส.โชติกา โรจน์สกุลพฤทธ์ อายุ 29 ปี ชาวจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นผู้นำบัตรเอทีเอ็มของบัญชีม้าออกตระเวนถอนเงิน และพบว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มขบวนการ
#คอลเซ็นเตอร์ ในประเทศกัมพูชา เนื่องจากทั้งสองได้เดินทางเข้าออกประเทศกัมพูชาหลายครั้งในช่วงเวลาที่เกิดเหตุดังกล่าว
จากการสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าทั้งคู่ได้รู้จักกับชาวจีนในปอยเปต ซึ่งชักชวนให้มาทำงานในลักษณะกดเงินสดออกจากตู้เอทีเอ็มในประเทศไทย แล้วนำเงินไปโอนส่งกลับให้กับนายจ้างชาวจีนเป็นรายได้ โดยรับค่าตอบแทนเป็นร้อยละ 10 ของยอดเงินที่ถอนออกมาในแต่ละครั้ง ซึ่งในเดือนหนึ่งทั้งคู่เคยถอนเงินได้สูงสุดเกือบ 2 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องในขบวนการ #คอลเซ็นเตอร์ ข้ามชาติที่ดำเนินการอย่างเป็นระบบ
ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวทั้งสองในพื้นที่ จ.ชลบุรี พร้อมกับตรวจยึดทรัพย์สินหลายรายการ เช่น สมุดบัญชีธนาคาร 2 เล่ม โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง รถยนต์ 1 คัน และเงินสดอีกประมาณ 500,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการหลอกลวงเหยื่อ ทั้งนี้จากการสอบปากคำทั้งคู่ให้การยอมรับว่ารู้จักกับกลุ่มชาวจีนและได้รับคำชักชวนให้มาทำงานดังกล่าว โดยระบุว่ามีหน้าที่กดเงินสดออกจากตู้เอทีเอ็มตามคำสั่งของกลุ่มผู้ว่าจ้างในประเทศกัมพูชา และส่งเงินไปยังกลุ่มเหล่านั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
พล.ต.ต.กฤตัสญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก.สอท.4 กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสืบสวนเพื่อขยายผลไปยังกลุ่มผู้ว่าจ้างชาวจีน รวมถึงการเชื่อมโยงกับกลุ่มหลอกเทรดหุ้น “โอ้กะจู๋” ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมผู้กระทำผิดในลักษณะเดียวกันในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ตำรวจมีความมุ่งมั่นที่จะติดตามจับกุมผู้ร่วมขบวนการในทุกระดับ เพื่อป้องกันและปราบปรามขบวนการเหล่านี้ให้หมดสิ้น
สำหรับข้อกล่าวหาที่ดำเนินคดีต่อทั้งสองผู้ต้องหา ได้แก่ “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และ “ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน” รวมทั้ง “ร่วมกันใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ” ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาและกฎหมายว่าด้วยการคอมพิวเตอร์ โดยตำรวจจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่มอาชญากรรมในลักษณะนี้แพร่ระบาดต่อไปในอนาคต
สถานการณ์คดีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนและความร้ายแรงของกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่มีการเชื่อมโยงกันในหลายประเทศ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยยังคงเดินหน้าสืบสวนและปิดล้อมเส้นทางการเงินของกลุ่มเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้กระทำผิดจะได้รับการดำเนินคดีอย่างเต็มที่และเพื่อปกป้องประชาชนจากการตกเป็นเหยื่อของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติในยุคดิจิทัลนี้ 📣 ติดตามทุกข่าวสารสำคัญ อัปเดตรวดเร็ว ทันทุกเหตุการณ์ก่อนใครได้ที่ #TAURUS999
นอกจากข่าวเด่นแล้ว เรายังมีความบันเทิงครบครัน 👉🎬 ดูหนังชนโรง & หนัง 18+⚽ ดูบอลสดแบบเรียลไทม์
🎰 ปั่นสล็อตฟรี ลุ้นมันส์ไม่มีสะดุด🃏 #ทดลองเล่นบาคาร่า และกิจกรรมดี ๆ อีกมากมายที่รอคุณอยู่!
📍สามารถติดตามข่าวสารได้ที่ : www.taurus999.com